ทำไม เงินเฟ้อในไทยถึงยังต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศ

 Home 

ประเด็นใหญ่ในสังคมไทย ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากในตอนนี้ 

คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาอาหารที่สูงขึ้น ที่กระทบกับคนจำนวนมาก

และจริง ๆ แล้วเรื่องราคาสินค้าที่แพงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย 

แต่หลายประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน

ซึ่งสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ 

การปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ

แต่หลายคนอาจแปลกใจ 

เพราะขณะที่เงินเฟ้อในต่างประเทศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

แต่เงินเฟ้อในประเทศไทยแม้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าหลายประเทศ

เรื่องนี้มันเป็นเพราะอะไร ?

ในทางเศรษฐศาสตร์ ข้อมูลที่นิยมใช้ในการอธิบายว่า ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

คือการเปลี่ยนแปลงของ “อัตราเงินเฟ้อ”

- หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาก หมายความว่า ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปกำลังเพิ่มขึ้นมาก

- หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นน้อย หมายความว่า ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปกำลังเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

ในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากและรวดเร็ว เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่ จะมีอำนาจการซื้อที่ลดลงมาก 

พูดง่าย ๆ ก็คือ เราจะรู้สึกว่าของแพงขึ้นมาก

ในทำนองเดียวกัน ผู้ผลิตก็จะได้รับผลกระทบเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความสามารถในการขาย และทำกำไรของธุรกิจ จนธุรกิจอาจต้องเพิ่มราคาสินค้า หรือในขณะเดียวกันก็ต้องลดต้นทุนด้วยการลดการจ้างงาน

ซึ่งหากเป็นแบบนี้ไปนาน ๆ ก็จะกระทบกับการบริโภค และการจ้างงานของธุรกิจ จนสุดท้าย จะส่งผลเสียหายต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ

ทีนี้เราลองมาดูอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา 

ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2564 ที่ผ่านมา

สิ้นไตรมาส 2 อัตราเงินเฟ้อ 5.4%

สิ้นไตรมาส 3 อัตราเงินเฟ้อ 5.4%

สิ้นไตรมาส 4 อัตราเงินเฟ้อ 7.0%

ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกานั้น บอกว่า ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐอเมริกานั้นสูงสุดในรอบ 40 ปีเลยทีเดียว..

และเมื่อดูจากตัวเลขแล้วก็ต้องบอกว่า 

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่มีทิศทางปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เนื่องจากฝั่งอุปสงค์ หรือความต้องการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการต่าง ๆ ของคนอเมริกันนั้น กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ฝั่งอุปทาน หรือฝั่งผลิตนั้นกลับมาโตตามไม่ทัน

ก็ทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ อย่างอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ หมู ปลา ไข่ไก่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 12% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

ปรากฏการณ์อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง ยังเกิดขึ้นในเขตยุโรป

เช่น ในเดือนธันวาคม ที่อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มยุโรป พุ่งขึ้นสู่ระดับ 5% สูงสุดในรอบ 25 ปี

ตัดกลับมาที่ประเทศไทย ที่กำลังได้รับผลกระทบจากราคาข้าวของที่กำลังแพงขึ้น จนทำให้คนจำนวนมากเริ่มได้รับความเดือดร้อน

ถ้าเราไปดูอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยในปี 2564 ที่ผ่านมา

สิ้นไตรมาส 2 อัตราเงินเฟ้อ 1.3%

สิ้นไตรมาส 3 อัตราเงินเฟ้อ 1.7%

สิ้นไตรมาส 4 อัตราเงินเฟ้อ 2.2%

จะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยนั้น ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกับหลายประเทศ

อย่างไรก็ตาม ก็ยังต่ำกว่าในหลายประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป

ซึ่งเรื่องนี้อาจเกิดมาจาก 2 ประเด็น คือ

- ประเด็นแรก: โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ทำให้การฟื้นตัวหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติในครั้งนี้จึงแตกต่างกัน

กรณีของประเทศไทย เศรษฐกิจของเราพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว สูงถึงประมาณ 20% ของ GDP ซึ่งถือว่าส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้กว่าจะฟื้นตัวกลับมาจุดเดิม คงต้องใช้เวลาไม่น้อย

บวกกับการจ้างงานของไทยยังตกต่ำ รายได้ของครัวเรือนที่ยังไม่สามารถปรับเพิ่ม ทำให้กำลังซื้อนั้นยังอยู่ในระดับต่ำ

ซึ่งกรณีนี้จะแตกต่างจากเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว ที่พึ่งพาการบริโภค และการลงทุนในประเทศเป็นหลัก เห็นได้จากกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่พึ่งพาภาคการบริโภคภายในประเทศประมาณ 70% 

ทำให้เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว คนมีงานทำและมีรายได้ การจับจ่ายใช้สอยก็ฟื้นตัวเร็วมาก และส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ จึงปรับตัวขึ้นมากกว่าประเทศไทย

การที่ราคาสินค้าขึ้นเพราะความต้องการการบริโภคสูงขึ้นจะเรียกว่า Demand-Pull

ซึ่ง Demand-Pull ไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย แต่ในทางกลับกัน เงินเฟ้อของประเทศไทยจะมาจาก Cost-Push หรือราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าสูงขึ้น จึงทำให้ราคาสินค้าต้องปรับขึ้นตาม..

ประเด็นที่สอง: ประเทศไทยไม่ได้พึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศในการผลิตสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคมากเหมือนหลายประเทศ

เรื่องนี้ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าในประเทศไทยปรับสูงขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ

การนำเข้าวัตถุดิบของประเทศไทย ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อผลิตและส่งออกไปยังต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง

ในขณะที่ราคาพลังงานและเชื้อเพลิง ที่ถือเป็นหนึ่งส่วนสำคัญในตะกร้าเงินเฟ้อ

ช่วง 11 เดือนแรก ไทยมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 35,000 ล้านบาท หรือ 14% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด 

และแม้ว่าราคาพลังงานในตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ภาครัฐของไทยก็ใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม ไว้อยู่ระดับหนึ่ง 

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ คงทำให้เห็นภาพกว้างได้ว่า 

อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยแม้จะปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป

อย่างไรก็ตาม วันนี้เราเริ่มเห็นกันแล้วว่า ราคาสินค้าและบริการหลายอย่าง เริ่มขึ้นราคากันบ้างแล้ว ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่า จะทำให้ทิศทางเงินเฟ้อของไทยหลังจากนี้ เป็นอย่างไร

ถ้าเงินเฟ้อในประเทศพุ่งสูงขึ้นเร็วและยาวนาน แบงก์ชาติไทย ก็อาจต้องเข้ามาควบคุมและสกัดไม่ให้เงินเฟ้อมากเกินไป ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ซึ่งโดยปกติแล้ว การขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

แต่ถ้าหากต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ค่อยดีอยู่

ประเทศไทยก็อาจเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “Stagflation” หรือภาวะ “เศรษฐกิจไม่ดี แต่ของแพง”

ซึ่งเป็นเรื่องที่คงไม่มีใครอยากเจอ นั่นเอง

ที่มา 

ความคิดเห็น