ความเสี่ยงของ การกระจายความเสี่ยง

 Home 

“อย่าเอาไข่ทั้งหมด ไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว”

เป็นประโยคเชิงเปรียบเทียบในโลกของการลงทุนที่ว่า ไม่ควรเอาเงินทั้งหมดที่มีไปทุ่มกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด เราอาจจะสูญเสียเงินทั้งหมดได้

ด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงนำไปสู่กลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือ “Diversification”

เพื่อป้องกันการขาดทุนอย่างหนัก จากการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในหุ้น อุตสาหกรรม หรือตลาดใดตลาดหนึ่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้การ Diversification จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความเสียหายทั้งหมดจากการลงทุน 

แต่มันก็มีข้อจำกัด และสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อใช้กลยุทธ์นี้ 

แล้วมีเรื่องอะไรที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อเลือกใช้กลยุทธ์นี้ ?

ในทฤษฎีการเงินและการลงทุน ก็มีหลายแนวทางที่ช่วยลดความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือ การใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ 

ซึ่งการกระจายการลงทุน มันก็แยกย่อยได้อีกหลายรูปแบบ เช่น

- กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ ฝากธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ

- กระจายการลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งต่างประเทศและในประเทศ

- กระจายการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม

- กระจายการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index fund) ซึ่งเปรียบเสมือนการได้ลงทุนในหุ้นทุกตัวในดัชนีนั้น ๆ แทนที่จะลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง หรือหุ้นเพียงไม่กี่ตัว

กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ว่ามานั้น ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะทำให้ความเสี่ยงของการลงทุนนั้น มีการกระจายตัว ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ในหุ้น อุตสาหกรรม หรือตลาดใดตลาดหนึ่งนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนไปได้ 

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ “มากเกินไป” ก็มีสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน 

แล้วมีอะไรบ้างที่เราต้องเข้าใจ และไม่ควรมองข้าม เวลาลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ?

- มีโอกาสน้อย ที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูง

ส่วนใหญ่เวลาลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง เราก็มักจะกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน 

พอเป็นแบบนี้ เวลาที่สินทรัพย์บางอย่างให้ผลตอบแทนสูง อีกสินทรัพย์ก็อาจจะให้ผลตอบแทนในทิศทางสวนทางกัน ทำให้เมื่อมาเฉลี่ยรวมกันแล้ว มีโอกาสน้อย ที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูง ๆ

เช่น ในปีหนึ่งตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10% ส่วนตลาดพันธบัตรให้ผลตอบแทน 5%

ถ้าเราเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในหุ้น แล้วได้ผลตอบแทนเท่ากับตลาด เราก็จะได้ผลตอบแทนเต็มที่ 10%

แต่ถ้าเราเอาเงินไปกระจายลงทุน ในหุ้นครึ่งหนึ่ง และพันธบัตรอีกครึ่งหนึ่ง

ผลตอบแทนที่เราได้ในปีนั้น ก็อาจจะอยู่ที่ราว ๆ 7.5%

หรือพูดง่าย ๆ คือ คนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนลักษณะนี้ อาจได้รับผลตอบแทนเพียงค่าเฉลี่ยของตลาดเท่านั้น

เรื่องนี้ Peter Lynch อดีตนักลงทุน และผู้จัดการกองทุนรวมชื่อดังชาวอเมริกัน เคยออกมาบอกว่า 

จริงอยู่ที่ว่า การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ แต่นักลงทุนก็ไม่ควรกระจายความเสี่ยงมากจนเกินไป 

เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทน เพียงแค่ในระดับเฉลี่ยแล้วนั้น การติดตามสินทรัพย์ในจำนวนที่มากเกินไปก็ยังเป็นภาระของนักลงทุนเองด้วย

ซึ่ง Peter Lynch ก็เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือ One Up On Wall Street ของเขาว่า

ถ้ากระจายการลงทุนมากจนเกินไป จากคำว่า Diversification อาจจะกลายเป็น “Diworsification” ที่แปลแบบง่าย ๆ ประมาณว่า “การกระจายการลงทุนที่แย่มาก”

- มีภาระเรื่องค่าธรรมเนียมที่มากขึ้น

การที่นักลงทุนพยายามลดความเสี่ยง ด้วยการไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และในตลาดหลายแห่ง นอกจากจะมีภาระในเรื่องที่ต้องใช้เวลามากในการติดตามแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือ ภาระเรื่อง “ค่าธรรมเนียม” ที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

เช่น ถ้าเรามีผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล

เขาก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล ประเมินมูลค่า ศึกษาความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่เราตั้งใจจะไปลงทุน เป็นจำนวนมาก ๆ หลายสินทรัพย์ หลายบริษัท ทำให้ค่าธรรมเนียมในการจัดการส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้

นอกจากนี้ การกระจายการลงทุนที่มากเกินไป อาจทำให้พอร์ตการลงทุนของนักลงทุน มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่คล้าย ๆ กันโดยไม่รู้ตัว หรือที่ทางคณิตศาสตร์เรียกว่า มี Correlation กัน ซึ่งในกรณีนี้ กลยุทธ์การกระจายการลงทุน ก็อาจไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงลงตามที่เราตั้งใจ

อ่านมาถึงตรงนี้ เราน่าจะพอเข้าใจ เรื่องของการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนไปบ้างพอสมควร 

ซึ่งแน่นอนว่า การกระจายความเสี่ยงก็ยังมีความจำเป็น และมีประโยชน์ โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน และผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้นให้ปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม มันก็อาจทำให้เสียโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในระดับสูง และเพิ่มภาระในการติดตามการลงทุนที่มากขึ้น นั่นเอง

ที่มา 

ความคิดเห็น